คิดถึงการแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวต่างประเทศกันหรือไม่ ? ถ้าหากว่าใช่ จองตั๋วเครื่องบินไปฝรั่งเศสกับ Traveloka กันดีกว่า เพราะว่า “ฝรั่งเศส”ประเทศที่มีประวัติความเป็นมายาวนานแห่งหนึ่งในโลก เกี่ยวข้องกับประวัติศาตร์ของโลกมากมายหลายเหตุการณ์ เป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวทุกคนเลือกไว้เป็นอันดับต้นๆ เสมอ เพราะมีสถานที่หลากหลายรูปแบบมาก ตั้งแต่โบราณสถาน ปราสาท พระราชวัง รวมถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และการผสมผสานวัฒนธรรมอื่นเข้ามาจนกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจ
บทความนี้เลยขอเอาใจบรรดาคู่รัก นักเที่ยวสายหวานแหวว ด้วย “20 ที่เที่ยวสุดโรแมนติกในฝรั่งเศส” มีที่ไหนบ้าง แต่ก่อนที่จะไปลิสต์ที่เที่ยวฝรั่งเศสกัน เรามาเช็คมาตรการสนามบินที่จะไปฝรั่งเศสกันก่อน ที่นี่ เสร็จแล้วก็ไปดูที่เที่ยวฝรั่งเศสในลิสต์ได้เลย
จองตั๋วเครื่องบินไปฝรั่งเศส กับTraveloka > https://www.traveloka.com/th-th/flight/to/Paris.PARA
1. หอไอเฟล (Eiffel Tower)
“หอไอเฟล” หนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่สวนสาธารณะช็องเดอมาร์ (Champ de Mars) ริมแม่น้ำแซน (Seine River) เป็นหอคอยโครงสร้างเหล็ก ที่มีความสูงสง่าถึง 324 เมตร สร้างขึ้นเพื่องานแสดงสินค้าโลก หรือ World’s Fair ในปี 1889 และตั้งชื่อตามผู้ออกแบบคือ กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) บริเวณชั้น 1 เป็นที่ตั้งของร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ เมื่อขึ้นบันไดจำนวน 1,710 ขั้น ขึ้นไปที่จุดสูงสุดของหอคอย จะได้เห็นทิวทัศน์ปารีสแบบมุมสูงที่มีด้านหน้าเป็นสวน และด้านหลังที่เป็นฝั่งแม่น้ำแซน (Seine River) ซึ่งส่วนนี้ต้องเสียค่าเข้าชม
2. แม่น้ำแซน (Seine River)
แม่น้ำเซน เปรียบได้ดัง “แม่น้ำแห่งชาติฝรั่งเศส” ที่ ไหลลงมาจากฝรั่งเศสตอนเหนือผ่านลงมายังกรุงปารีส กิจกรรมห้ามพลาดคือ เดินเลาะริมแม่น้ำ นั่งชมบรรยากาศแบบฝรั่งเศสสุดโรแมนติก โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า หรือล่องเรือชมความงามของเเม่น้ำสายนี้ ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ มากมาย โดยมีไฮไลท์ที่ “หอไอเฟล” (Eiffel Tower) แลนด์มาร์กของกรุงปารีส เเละ “มหาวิหารนอร์ทเทอดาม” (Notre Dame Cathedral) โบสถ์เก่าเเก่ประจำเมืองอายุมากกว่า 856 ปี “พิพิธภัณฑ์ลูฟร์” (Louvre Museum) พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และ “ศาลาว่าการกรุงปารีส” (Hotel de ville) ที่สวยงามอลังการทั้งยามกลางวันและกลางคืน
3. มหาวิหารซาเครเกอร์บาซิลิก้า (Basilica of the Sacred Coeur)
มหาวิหารสีขาวสะอาดบริสุทธิ์อันเปี่ยมไปด้วยความงดงามนี้ ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของปารีสที่เรียกว่า “มงต์มาร์ท ” (Montmartre) ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 39 ปี ความพิเศษอยู่ที่สถาปัตยกรรมแบบโรมันไบแซนไทน์ ซึ่งถือได้ว่าแปลกใหม่และน่าสนใจมากในขณะนั้น สร้างจากหินสีขาวทั้งหลัง มีประตูทางเข้า 3 ช่อง ประดับรูปสำริดของนักบุญเเห่งฝรั่งเศสไว้ด้านบน คือ นักบุญพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งประเทศฝรั่งเศส และนักบุญยอนออฟอาร์ค และยังมีระฆังน้ำหนักกว่า 19 ตัน ประดับไว้ภายใน ปัจจุบันมหาวิหารซาเครเกอร์ยังคงงดงามยิ่งใหญ่อลังการ ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของย่านมงมาร์ต
4. พระราชวังลักเซมบูร์ก (Luxembourg Palace)
พระราชวังลักเซมบูร์ก อันยิ่งใหญ่อลังการสุดโรแมนติก เดิมเป็นที่ประทับของพระนางมารีเดอเมดิชิ (Marie de’ Medici) พระมารดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ของฝรั่งเศส (Louis XIII de France) หลังจากช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส พระราชวังนี้ได้รับการดัดแปลงให้เป็นอาคารรัฐสภา ทางทิศเหนือของพระราชวังปรับให้เป็นที่พักของประธานสภาสูง อาคารทางทิศตะวันตกก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ทางทิศใต้ของพระราชวังเป็นสวนลักเซมเบิร์ก (Luxembourg Garden) สวนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งประดับประดาไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ สระน้ำ รูปปั้นราชินีฝรั่งเศสและรูปปั้นนักบุญต่างๆ มากมาย มีสวนแอปเปิ้ล สวนลูกแพร และยังมีร้านอาหารและร้านกาแฟ ให้นั่งจิบกาแฟชิวๆ ฟังดนตรีในสวน
5. มหาวิหารสตราสบูร์ก (Strasbourg Cathedral)
มหาวิหารนิกายโรมันคาทอลิกขนาดใหญ่ เคยได้รับการบันทึกเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในโลก ในช่วงปี 1647 – 1874 ด้วยความสูงถึง 142 เมตร และยังถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดที่สร้างในยุคกลางที่ยังคงสภาพอยู่ในปัจจุบัน โดยใช้เวลาสร้างนานถึง 400 ปี จุดเด่นสำคัญคือเป็นโบสถ์ที่มีหอคอยหอเดียว สลักด้วยหินทรายสีชมพูงดงาม ภายในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือบริเวณห้องใต้ดิน และบริเวณห้องโถงใหญ่ ที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นรูปเรือลำใหญ่ ซึ่งมีความหมายว่า “การเดินทางของชีวิต” ภายในประดับด้วยหน้าต่างกระจกสีลายกุหลาบทรงกลมขนาดใหญ่ และมีนาฬิกาดาราศาสตร์ ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
6. พระราชวังชองบอร์ (Chateau de Chambord)
พระราชวังชองบอร์ เป็นพระราชวังที่ได้ชื่อว่าสวยงามและมีบรรยากาศโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส สร้างขึ้นโดยกษัติรย์ฟรองซัวร์ที่ 1 (Francis I of France) เมื่อคริสตศตวรรษที่ 15 เพื่อเป็นที่ประทับระหว่างที่พระองค์ล่าสัตว์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลัวร์ (Loire River) ในเขตชนบทชองบอร์ (Chambord) พระราชวังแห่งนี้โดดเด่นทั้งภายในและภายนอก ด้วยสถาปัตยกรรมเรเนอซอง หลังคาด้านนอกของตัวอาคารหลัก มีหอคอย 11 หอ เรียงเรียงรายลดหลั่นกันไป ภายในมีลวดลายแกะสลักบนหลังคาเป็นรูปซาลามันเดอร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าฟรองซัวร์ มีสถาปัตยกรรมบันไดเวียน 2 ข้างที่วนขนานกัน ส่วนบนดาดฟ้าเป็นจุดชมวิวพระราชวังและบรรยากาศสุดโรแมนติกบริเวณโดยรอบจากมุมสูงได้อีกด้วย
7. พระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles Palace)
พระราชวังหินอ่อนสุดยิ่งใหญ่แห่งเมืองแวร์ซายส์ (Versailles) ของกรุงปารีส ที่ได้รับการยกย่องว่างดงามอลังการเป็นที่สุดของโลกมาอย่างยาวนาน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปี 1979 อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน พระราชวังที่สวยงามแห่งนี้ สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ภายในแบ่งออกเป็นห้องต่่างๆ มากกว่า 700 ห้อง ซึ่งประดับประดาภาพเขียนที่ีมีชื่อเสียง และมีเครื่องประดับที่หรูหราตระการตา ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ “ห้องกระจก” (The Hall of Mirrors) อันเลื่องชื่อ ที่งดงามและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของแวร์ซายส์ ทั้งห้องประกอบด้วยกระจกบานยักษ์ 17 บาน เมื่อเปิดออกจะพบกับสวนแวร์ซายส์อันสวยงามดุจสวนสวรรค์
8. เมืองกอลมาร์ (Colmar)
เมืองกอลมาร์ เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโอแรง (Haut-Rhin) ในแคว้นอาลซัส (Alsace) เป็นเมืองที่มีไร่องุ่นจำนวนมาก ได้รับฉายาว่า “เมืองหลวงแห่งไวน์แห่งอาลซัส” (Capitale des Vins d’Alsace) และเอกลักษณ์โดดเด่นตรงที่มีคลองไหลผ่าน จึงได้รับสมญานามว่า “ลิตเติ้ลเวนิสแห่งฝรั่งเศส” และยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในการอนุรักษ์เมืองให้ยังคงเป็นเมืองที่ โดยเฉพาะในตัวเมืองเก่าที่เรียงรายไปด้วยเรือนไม้โบราณ ร้านค้าโบราณ โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ คริสต์ศาสนสถาน และร้านค้าและที่อยู่อาศัยที่คงสภาพเหมือนเมืองในยุคกลาง อีกทั้งยังเป็นเมืองสุดโรแมนติก บรรดาคู่รักมักจะให้คำสัญญาในความรักระหว่างกันและกันที่เมืองนี้
9. เมืองนีซ (Nice)
เมืองตากอากาศยอดนิยมแห่งหนึ่งของยุโรป ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส อยู่ในแคว้นโกสเดอซู (Côte d’Azur) และ ถือว่าเป็นชายฝั่งที่สำคัญที่สุดของเฟรนช์ริเวร่า (French Riviera) แลนด์มาร์กของเมืองอยู่ที่ “ถนนเดสซองเกรส์” (Promenade des Anglais) ถนนเลียบชายหาดที่ทอดตัวเป็นแนวยาว เป็นแหล่งรวมกิจกรรมต่างๆ ทั้งอาบแดดริมหาด เดินเล่นชมบรรยากาศ หรือจิบไวน์ ชิมอาหารทะเล ที่ร้านอาหารซึ่งตั้งเรียงรายริมหาด ที่ย่านเมืองเก่านีซ (Le Vieux Niece) มีสถานที่ท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมและพิพิธภัณฑ์ศิลปะมากมาย และยังเป็นแหล่งอาหารทะเลสด ๆ ของเมืองอีกด้วย ส่วนจุดชมวิวสุดอลังการอยู่ที่ “คาสเซิลฮิลล์” (Castle Hill) เป็นจุดชมวิวเมืองและอ่าวเบย์ออฟแองเจิล (Bay of Angels) จากมุมที่สวยที่สุด
10. เมืองคานส์ (Cannes)
เมืองคานส์ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งโกต์ดาซูร์ (Côte d’Azur) ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางภาคใต้ของฝรั่งเศส
นอกจากชื่อเสียงของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ (Cannes Film Festival) เมืองคานส์ยังมีจุดปักหมุดให้สำรวจ ไม่ว่าจะเป็น “พรอมานาดเดอลาโคเซส” (Promenade de la Croisette) ถนนที่ทอดยาวไปตามชายหาดเป็นระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร ที่มีบรรยากาศสุดคึกคัก เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร “ถนนลูอองบี” เป็นถนนช้อปปิ้งที่ เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์เนม ”ย่านซูเกต์” (Le Suquet) เป็นย่านเมืองเก่าที่มีมุมถ่ายภาพสวยๆ เพียบ โดยเฉพาะที่ “มูเชเดอลาคาสเทรอ” (Musée de la Castre) ปราสาทเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นวิวเมืองคานส์ และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้แบบ 360 องศา
11. เมืองเอ็กซองโพรวองซ์ (Aix-en-Provence)
อดีตเมืองหลวงเก่าของแคว้นโพรวองซ์ (Provence) ที่อยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เป็นเมืองเก่าที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ 123 ปีก่อนคริสตกาล และยังเป็นเมืองที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่เป็นอันดับหนึ่งด้านกฎหมาย ที่มีอายุถึง 600 ปี นอกจากบรรยากาศคลาสสิกในมืองแล้ว ยังมีวิวสวยของทะเลด้วยสามารถเที่ยวได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี อีกทั้งยังเป็นเมืองแห่งลาเวนเดอร์และไร่องุ่น และเมืองนี้ยังเป็นบ้านเกิดของ “พอล เซซาน” (Paul Cezanne) ศิลปินชื่อดังระดับโลกที่มีชื่อเสียงด้านภาพวาดแนวภูมิทัศน์ของภูเขา ทุ่งหญ้าและต้นไม้ด้วย และจุดที่ไม่ควรพลาดคือ “ร้านเลเดอกักซง” (Les Deux Garcon) ร้านกาแฟเก่าแก่อายุ 200 ปี ที่ยังคงรสชาติดั้งเดิมไว้อย่างดี
12. หุบเขาลัวร์ (Loire Valley)
หุบเขาลัวร์ เป็นหุบเขาที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลัวร์ (Loire River) ทางตอนกลางของฝรั่งเศส พื้นที่ทั้งหมดของหุบเขาลัวร์ระยะทาง 280 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่เขียวชอุ่มที่รู้จักกันในชื่อ “สวนแห่งฝรั่งเศส” (Garden of France) เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของไร่องุ่นและสวนผลไม้ โดดเด่นในเรื่องเมืองประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและไวน์ จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ตลอดแนวหุบเขาเป็นที่ตั้งของปราสาทที่สวยงามราวเทพนิยาย ที่เต็มไปด้วยคูน้ำและหอคอยสูง ที่โด่งดังที่สุดคือ “ปราสาทเชอนงโซ” (Château de Chenonceau) ที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในบรรดาหมู่ปราสาทและพระราชวังทั้งหมด จุดเด่นคือเป็นปราสาทที่สร้างคร่อมแม่น้ำเชอร์ (Cher) และยังมีสวยขนาดใหญ่ให้เดินเล่น แมีภัตตาคารไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย
14. เทือกเขามงบล็อง (Mont Blanc)
“มงบล็อง” หรือ “ภูเขาสีขาว” เป็นภูเขาที่กั้นพรมแดนระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศส ที่เมืองชาโมนิก (Chamonix) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาแอลป์ และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปที่อยู่นอกเขตคอเคซัส บนยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี มีกิจกรรมสุดท้าทายมากมายให้ผจญภัย อย่างเช่น นั่งกระเช้าชมความสวยงามของยอดเขาหิมะขาวโพลน สนุกสนานกับการเล่นสกีหิมะที่หุบเขา Vallee Blanche ซึ่งเป็นสถานีที่มีจุดชมวิว 360 องศา หรือท่องธารน้ำแข็งแมร์เดอเกลซ (Mer de Glace Glacier) ซึ่งเป็นเส้นทางสกีที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาว 20 กิโลเมตร เลยทีเดียว
15. เมืองอานซี (Annecy)
เมืองอานซี เป็นเมืองจากยุคกลางอันเปี่ยมเสน่ห์ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบอานซี (Annecy Lake) ฝั่งแคว้นโรนาลป์ (Rhone Alpes) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เป็นเมืองแสนสวยจนได้ฉายา “ไข่มุกแห่งเทือกเขาแอลป์ในฝรั่งเศส” (Pearl of the French Alps) ด้วยความที่เมืองติดทะเลสาบอานซี (Lake Annecy) และมีคลองตัดผ่านเมืองมากมายหลายสาย จึงได้รับฉายาว่า “”เมืองเวนิสแห่งเทือกเขาแอลป์” (Venice of the Alps) ที่สุดปลายแม่น้ำธีอู (Thiou) ซึ่งเป็นจุดที่เชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำและทะเลสาบ มีสะพานแห่งรัก (Pont des Amours) อันสุดแสนโรแมนติก ราวบันไดที่นี่เต็มไปด้วยกุญแจ ทื่แสดงหมายความว่าจะไม่มีวันแยกจากกัน
16. เมืองแรนส์ (Rennes)
เมืองแรนส์ เป็นเมืองทางตะวันออกของแคว้นบริททานี (Brittany) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส
เป็นเมืองเล็กๆ สุดคลาสสิก ได้รับรางวัลยกย่องให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศสประจำปี 2012 ใจกลางเมืองมีจตุรัส Place de la Mairie ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า ล้อมรอบด้วยอาคารสไตล์เฟรมเฮ้าส์ ที่ยังรักษาความเป็นเอกลักษณ์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็น “ศาลากลาง” (City Hall) ศาลาว่าการประจำเมืองที่ถูกออกแบบโดย “ฌาคส์กาเบรียล” (Jacques Gabriel) หนึ่งในผู้ออกแบบพระราชวังแวร์ซาย “ศาลสูง” (Brittany High Court) หนึ่งในสถานที่ประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองแรนส์ และ “มหาวิหารแซ็งปีแยร์แห่งแรนส์” (Cathedral Saint Pierre de Rennes) ที่ถูกใช้เป๋็นโบสถ์ประจำเมืองตั้งแต่ศตวรรษที่ 6
17. อ่าวอาร์เคชง (Arcachon Bay)
สถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศชื่อดังของเมืองบอร์โด (Bordeaux) และเป็นแหล่งอาหารทะเลที่ดีที่สุดของฝรั่งเศส ขึ้นชื่อในเรื่องของหอยนางรมที่มีคุณภาพสูง รีสอร์ทและบ้านพักตากอากาศที่นี่ชื่อเสียงในเรื่องของความหรูหรา อีกทั้งยังมีความหลากหลายทางธรรมชาติ เป็นที่ภูเขาทราย Pilat (Dune du Pilat) ภูเขาทรายที่สูงที่สุดในยุโรป อีกหนึ่งจุดเด่นของที่นี่ก็คือ “หมู่บ้านหอยนางรม” ที่เป็นแหล่งผลิตหอยนางรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส ดื่มด่ำไปกับอาหารทะเลสดใหม่ที่ร้านอาหารริมชายหาด พลาดไม่ได้กับการล่องเรือแคนูแบบติดเครื่องยนต์ที่เรียกว่า “Pinasse” สัมผัสความสวยงามของมหาสมุทรแอตแลนติก
18. เมืองลียง (Lyon)
เมืองใหญ่อันดับ 2 ของฝรั่งเศสรองจากปารีส ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกตอนกลาง เป็นเมืองหลวงของแคว้นโรนาลป์ (Rhone Alpes) ตัวเมืองตั้งอยู่ริมชายฝั่งของแม่นํ้าโรน (Rhone River) และแม่น้ำซาโอน (Saone River) ที่ไหลผ่านใจกลางเมืองมาบรรจบกัน ลียงจึงมีทัศนียภาพเป็นเกาะกลางนํ้า มีชื่อเสียงมายาวนานในด้านของสถาปัตยกรรม และสถานที่ต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ มีพิพิธภัณฑ์ให้เลือกเข้าชมมากมาย อาทิ พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์แห่งลียง (Museum of Fine Arts of Lyon) และพิพิธภัณฑ์ยานยนต์โบราณ (Automobile Museum) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา มีจุดชมวิวทิวทัศน์ของบ้านเรือนริมฝั่งแม่นํ้าซาโอน และป่าบนเนินเขาที่ใบไม้กำลังจะเปลี่ยนสี ไว้ให้ถ่ายภาพกันได้อย่างจุใจ
19. หมู่บ้านมูสติเยร์แซงต์มารี (Moustiers Sainte Marie)
หมู่บ้านที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ระดับความสูง 630 เมตร ในแคว้นโพรวองซ์ (Provence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแวร์ดง (Verdon Regional Nature Park) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางธรรมชาติ ณ ย่านเมืองเก่า มีมรดกทางสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ ที่เด่นที่สุดคือ “โบสถ์พระแม่แห่งอัสสัมชัญ” Notre Dame de l’Assomption) ซึ่งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน สร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12 และมีหอระฆังซึ่งสวยงามที่สุดในแคว้นโพรวองซ์ บนเนินเขาเหนือหมู่บ้านโดดเด่นด้วย “วิหารน้อย” (Notre Dame de Beauvoir) โบสถ์สไตล์โรมาเนสก์โกธิกที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยคริสต์ศตวรษที่ 8 ด้านบนเป็นจุดชมทิวทัศน์โดยรอบทั้ง ภูเขา ทะเลสาบ และทุ่งลาเวนเดอร์ อันสวยงามประทับใจ
20. หมู่บ้านอีวัวร์ (Yvoire)
หมู่บ้านชื่อดังในฝรั่งเศสที่มีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี ณ เมืองโอตซาวัว (Haute Savoie) บนชายฝั่งทะเลสาบเจนีวาของฝรั่งเศสอันเป็นที่มาของฉายา “ไข่มุกแห่งทะเลสาบเจนีวา” เป็นหมู่บ้านที่สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 14 ที่ยังคงรูปลักษณ์ของยุคกลางไว้อย่างดี ทั้งประตูเมืองและกำแพงเมืองอันเก่าแก่ ที่สำคัญบ้านเรือนแต่ละหลังจะถูกประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสี จนได้รับการขนานนามว่า “หมู่บ้านดอกไม้ เป็นหนึ่งในผู้ชนะการแข่งขันไม้ดอกระดับประเทศ และได้รับเหรียญเงินจากการแข่งขันดอกไม้ยุโรปปี 2002 อีกด้วย บรรยากาศภายในเมืองเงียบสงบ อากาศดี อยู่ติดทะเลสาบเจนีวา มีทั้งปราสาท โบสถ์ประจำเมือง และป้อมปราการ และยังมีร้านขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อเป็นของฝากเพียบ
ฝรั่งเศส มหานครแห่งความโรแมนติก อบอวลไปด้วยบรรยากาศสวยๆ เคล้ากลิ่นหอมของดอกไม้ ไวน์เลิศเยี่ยม และอาหารฝรั่งรสเลิศ สมกับที่ครองแชมป์ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกมาเยือนมากที่สุดในโลก พร้อมแล้วไปจองตั๋วเครื่องบินไปฝรั่งเศสกันดีกว่า