ทุกวันนี้ หลายจังหวัดในภาคอีสานกลายเป็นจุดหมายปลายทางของหลายคนไปแล้วจ้า โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นสายบุญแถมยังรักการมูเตลูเป็นพิเศษนะ เชื่อว่าจะปักหมุดไปอีสานกันแบบรัวๆ เชียว หนึ่งเส้นทางยอดฮิตทุกวันนี้ ก็ต้องยกให้กับอุดรธานีและบึงกาฬนี่ละจ้า เพราะเดินทางง่าย ความสะดวกสบายพร้อมพรั่ง แถมยังมีพิกัดมูแบบปังๆ ให้จัดหนักกันเลยละ วันนี้เราเลยจะขอมาชี้เป้าให้ชาวมูกันแบบรัวๆ เลยจ้า แนะนำว่าขับรถเที่ยวเองจะชิลล์สุดนะ เพราะจะเที่ยวได้แบบคุ้มเวลา แล้วอย่าลืมไปมองหาตั๋วเครื่องบินอุดรธานีจาก Traveloka Travel & Lifestyle Super App ด้วยล่ะ จะได้มูกันอย่างจัดเต็มไปเลยไง!
จองตั๋วเครื่องบินไปอุดรธานี กับ Traveloka > https://www.traveloka.com/th-th/flight/to/Udon-Thani.UTH
จองรถเช่า หรือเช่ารถ กับ Traveloka > https://www.traveloka.com/th-th/car-rental/
แพลนขับรถเที่ยวอุดรฯ – บึงกาฬ ของสายมู
เราขอชวนออกสตาร์ททริปนี้กันด้วยการมุ่งหน้าไปยังบึงกาฬ เพื่อเช็คอินกันที่ สะดือแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่หน้าวัดอาฮงศิลาวาส หลายคนจึงอาจจะรู้จักที่นี่ในชื่อแก่งอาฮง ตรงนี้ถือเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขงเลยนะ ว่ากันว่ามีความลึกถึงประมาณ 200 เมตรเชียวละ เชื่อกันว่าใต้น้ำมีถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปลาบึกและเหล่าพญานาคในช่วงวันออกพรรษา เนื่องจากที่นี่มักจะมีปริมาณบั้งไฟพญานาคค่อนข้างหนาตากว่าบริเวณอื่น ในวัดยังมีองค์พระประธาน เจดีย์พระบรมธาตุอาฮง และศาลเจ้าแม่สะดือแม่น้ำโขงให้แวะสักการะด้วยจ้า มาที่เดียวได้มูกันอย่างจัดหนักแน่นอน
พิกัดต่อมา ขอชวนแวะพักสายตากับบรรยากาศสุดชิลล์ของ น้ำตกถ้ำพระ พิกัดสุดอเมซิ่งของบึงกาฬที่สามารถมาชมวิว เล่นน้ำ แต่ก็ยังกราบพระไปพร้อมกันได้! น้ำตกนี้สวยแปลกตาเพราะเป็นสายน้ำที่ไหลผ่านภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ ลดหลั่นกันไปตามระดับความสูงทั้งหมด 3 ชั้น และด้วยความที่บางจุดเป็นเนินหินซึ่งมีความลาดชันไม่มากเท่าไหร่ นักท่องเที่ยวจึงมักใช้เป็นสไลเดอร์ธรรมชาติในการลื่นไถลลงเล่นน้ำกันได้อย่างสุดมันไปเลยจ้า หลายคนยกให้ที่นี่เป็นสวนน้ำกลางป่ากันเลยนะ เป็นอีกพิกัดที่มาบึงกาฬแล้วไม่ควรพลาดกันเลยเชียว
หลังจากชิลล์กันไปแล้วเต็มที่ เราเลือกไปเช็คอินที่ วัดภูทอก กันต่อจ้า วัดนี้มีชื่อแบบเต็มๆ ว่าวัดเจติยาคีรีวิหาร ไฮไลท์ของที่นี่ก็ต้องยกให้กับการเดินบนสะพานไม้ซึ่งแบ่งออกเป็น 7 ชั้น ตั้งแต่ชั้น 3 ขึ้นไปเป็นสะพานไม้ที่สร้างเกาะติดกับหน้าผา ซึ่งวนรอบภูเขาหินไปมาแบบ 360 องศากันเชียวละ ทั้งหมดใช้เวลาสร้างถึง 5 ปี โดยบริเวณชั้น 5 เป็นชั้นที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบสักการะกันแบบแน่นๆ เลยจ้า เชื่อกันว่าในเส้นทางจากชั้นที่ 6 ขึ้นไปยังชั้นที่ 7 นั้นจะมีปากทางเข้าเมืองพญานาคซ่อนอยู่หลังองค์พระปางนาคปรกด้วยนะ เป็นอีกจุดที่ได้มูกันแบบจัดเต็มเลยจ้ะ เตรียมพลังขามาให้พอก็แล้วกัน
เช้าวันต่อมา ได้เวลาออกไปตามล่าแสงแรกของวันกันที่ หินสามวาฬ ซึ่งเป็นพิกัดสวยที่ไม่อยากให้พลาดกันเมื่อมาถึงบึงกาฬจ้า ถึงแม้ช่วงนี้อาจจะไม่ใช่ฤดูที่จะได้ชมทะเลหมอกนะ แต่บอกไว้ตรงนี้เลยว่าทิวทัศน์มุมสูงที่ได้เห็นกันก็ยังสวยคุ้มค่าการตื่นเช้าอยู่ดี ที่สำคัญคือเดินทางง่ายเพราะสามารถเข้าถึงได้ด้วยรถยนต์เลยจ้า แต่แนะนำว่าควรใช้รถที่เค้ามีให้บริการดีกว่านะ เพราะเส้นทางขับขึ้นนั้นเรียกว่าไม่ง่าย ใช้บริการเจ้าถิ่นดีกว่าจ้า ปลอดภัยกว่า เราแค่นั่งชมวิวไปเพลินๆ แล้วเดินลงไปชมวิวเช็คอินก็พอ!
จากหินสามวาฬ ก็ได้เวลาไปลุยหนึ่งในไฮไลท์ของทริปนี้กันแล้วจ้ะ การขึ้น ถ้ำนาคา ต้องจองคิวล่วงหน้ามาก่อนเด้อ แนะนำว่าไม่ควรมาขึ้นตอนสายมาก เพราะจะได้ใช้เวลาชมด้านบนได้นานหน่อย แถมผู้คนก็อาจจะยังไม่แน่นเท่าไหร่นัก เส้นทางเดินนั้นอยู่ที่ประมาณ 2 – 3 กิโลเมตร แต่ด้วยความสูงชันของเส้นทางจึงต้องใช้ทั้งความแข็งแรงและระมัดระวังประมาณนึงจ้า ที่สำคัญคือต้องประเมินร่างกายตัวเองก่อนไปว่าไหวมั้ย เพื่อจะได้มามูกันอย่างปลอดภัยน้า นาทีนี้บอกเลยว่าสายมูตัวจริงจะพลาดการมาเช็คอินที่นี่บ่ได้เด้อ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการมูในบึงกาฬ ก็ได้เวลาขับรถกลับไปมูต่อที่อุดรฯ กันแล้วจ้า เราเลือกใช้เส้นทางซึ่งผ่าน คำชะโนด เพื่อจะได้มามูกันก่อนเข้าตัวเมืองในวันนี้ เพราะนี่คืออีกหนึ่งพิกัดที่มาอุดรฯ แล้วต้องห้ามพลาดเลยละ นาทีนี้เชื่อว่าคงไม่มีสายมูคนไหนที่ไม่รู้จักกิติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของคำชะโนดแล้วนะ และเช่นเดียวกันกับพิกัดสุดฮ้อตอื่นๆ จ้า ที่นี่ก็ต้องจองออนไลน์ล่วงหน้าก่อนมาเช่นกันน้า ไม่ยากเกินกำลังของสายมูแน่นอนจ้า เป็นอีกพิกัดที่ไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง
ส่งท้ายภารกิจการมูของวันนี้กันที่ ศาลเจ้าปู่ – ย่า ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองอุดรฯ เลยละ นี่คือพิกัดที่ชาวไทยเชื้อสายจีนในเมืองนี้ให้ความศรัทธาและนับถือมาอย่างยาวนาน เริ่มต้นจากการเป็นศาลไม้เล็กๆ จนกลายเป็นศาลเจ้าซึ่งมีเนื้อที่กว้างขวาง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจุดมงคลต่างๆ ให้ได้จุดธูปกราบไหว้ขอพรกันอยู่หลายจุดเลยเชียวละ หลายคนประสบผลสำเร็จจากการมาขอพรที่นี่กันด้วยนะ แถมว่ากันว่าเซียมซีที่นี่ยังแม่นสุดๆ เลยด้วยจ้า จริงแท้แค่ไหนต้องมาลองกันดูเอง
เย็นๆ ค่ำๆ ในวันนี้ เรามาปิดท้ายวันกันที่ สวนสาธารณะหนองประจักษ์ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คกลางเมืองอุดรฯ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศสบายๆ ช่วงเย็นๆ จะเห็นผู้คนออกมาเดินเล่นหรือออกกำลังกายกันค่อนข้างหนาตา ด้านในของสวนนี้แบ่งออกเป็นเกาะย่อยๆ ซึ่งมีสะพานเชื่อมต่อเนื่องกัน มีทั้งลานแอโรบิก สวนดอกไม้ สนามเด็กเล่น หรือจะไปปั่นจักรยานน้ำรับลมเย็นๆ ก็ยังได้ รอบๆ สวนยังเต็มไปด้วยร้านอาหารหลากหลายรูปแบบที่มีของกินสารพัดให้แวะจัดหนักกันแบบตามสบาย นับเป็นพิกัดส่งท้ายวันที่ชิลล์เชียวละ
เช้าวันต่อมาเรามุ่งหน้าไปยัง หมู่บ้านคีรีวงกต เพื่อคั่นอารมณ์จากการตระเวนมูมาเป็นการดูธรรมชาติกันบ้าง นี่คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาตินายูง – น้ำโสมจ้า ที่นี่เค้าเปิดให้มีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ด้วยการนั่งรถอีแต๊กชมหมู่บ้าน ต่อด้วยการนั่งข้ามลำธารเข้าไปในป่า เพื่อพักกินอาหารท่ามกลางธรรมชาติกันในบรรยากาศแบบสบายๆ เป็นอีกหนึ่งพิกัดที่อยากชวนให้ไปเช็คอินในเมืองอุดรฯ
ขับรถต่อมาอีกไม่ไกล ก็จะถึง วัดป่าภูก้อน ซึ่งเป็นพิกัดมูที่เราจะแวะไหว้พระกันต่อไปจ้า วัดนี้ตั้งอยู่ในทำเลดีบนยอดเขาท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีของอุทยานแห่งชาตินายูง – น้ำโสม ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือการแวะมากราบองค์พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี ซึ่งเป็นองค์พระนอนสีขาวยาว 30 เมตร แกะสลักขึ้นจากหินอ่อนอิตาลีจำนวน 43 ก้อน รวมถึงยังมีพระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ ซึ่งบนส่วนยอดเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนด้านในนั้นเต็มไปด้วยรูปหล่อของพระภิกษุสายกรรมฐานหลายรูปเลยเชียวละ แวะมาชมมากราบขอพรกันได้เลย
ก่อนขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน เราขอปิดท้ายทริปขับรถมูคราวนี้กันที่ ศาลหลักเมืองอุดรธานี ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2502 และว่ากันว่ามีการอัญเชิญดวงพระวิญญาณของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเมืองอุดรฯ มาสถิตย์อยู่ ณ เสาหลักเมืองแห่งนี้ นอกจากนั้น ที่นี่ยังมีหลวงพ่อพระพุทธโพธิ์ทอง องค์พระพุทธรูปเก่าแก่ที่เชื่อกันว่าถ้าได้มากราบก็จะเหมือนกับได้มีร่มโพธิ์ร่มไทรคุ้มครองหรือมีผู้ใหญ่ค้ำจุนให้ได้แวะขอพรกัน ปิดท้ายด้วยการแวะกราบสักการะขอพรจากรูปปั้นองค์ท้าวเวสสุวรรณที่อยู่ด้านหน้า มา 1 ได้ถึง 3 จ้า อย่าพลาดเชียว
สำหรับสายบุญและสายมูทั้งหลาย บอกเลยว่าจะมองข้ามเมืองอุดรฯ และบึงกาฬไปไม่ได้เลยเชียวละ เพราะนี่คือพิกัดที่เต็มไปด้วยสถานที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงยังมีตำนานเรื่องเล่าที่สุดอัศจรรย์อยู่มากมาย มีเวลาเมื่อไหร่ปักหมุดมากันได้เลยจ้า รับรองว่าได้มูกันแบบจัดหนักจุใจอย่างแน่นอน